กระทรวงพาณิชย์จีนแถลงเมื่อวันจันทร์ว่า จีนจะเร่งขยายการเปิดเสรีภาคบริการ ซึ่งเป็นมาตรการเชิงปฏิบัติเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและความแน่นอนให้กับเศรษฐกิจโลก ภายใต้สถานการณ์ที่ลัทธิการค้าแบบฝ่ายเดียวและแนวคิดปกป้องทางการค้าทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก
กระทรวงฯ ได้ออกแนวทางการเร่งดำเนินโครงการนำร่องการเปิดเสรีภาคบริการแบบครบวงจร โดยขยายพื้นที่ทดลองไปยัง 9 เมืองเพิ่มเติม เช่น ต้าเหลียนในมณฑลเหลียวหนิง และหนิงโปในมณฑลเจ้อเจียง
ก่อนหน้านี้ โครงการนำร่องดังกล่าวได้ดำเนินการไปแล้ว 3 รอบ ใน 11 มณฑลและเมืองทั่วประเทศ โดยรอบล่าสุดจะขยายการดำเนินงานพร้อมกันทุกพื้นที่ทันที
มาตรการสำคัญของแนวทางนี้เสนอภารกิจนำร่อง 155 ภารกิจใน 14 สาขา ครอบคลุมถึงการ สนับสนุนการเปิดเสรีอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและดิจิทัล การยกระดับการเปิดเสรีภาคสาธารณสุขและการแพทย์ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศด้านการเงิน วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว
ตัวอย่างมาตรการเด่น เช่น การอนุญาตให้แพทย์ต่างชาติเปิดคลินิกในจีน และส่งเสริมการปฏิบัติงานระยะสั้นของผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์จากต่างประเทศ, การดึงดูดบริษัทประกันภัย กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (sovereign funds) และกองทุนบำเหน็จบำนาญต่างชาติ เพื่อสนับสนุนการลงทุนในโครงการสีเขียว, และการเปิดโอกาสให้บริษัทท่องเที่ยวต่างชาติดำเนินธุรกิจท่องเที่ยวขาออกในจีน
หลิง จี รัฐมนตรีช่วยกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า มาตรการ “ภาษีตอบโต้” ของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบรุนแรงต่อระบบการค้าโลกและห่วงโซ่อุปทานโลก โดยจีนรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวด้วยการยกระดับการเปิดเสรี และมาตรการใหม่ของจีนสะท้อนความมุ่งมั่นแน่วแน่ในการขยายการเปิดกว้าง สนับสนุนโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ และรักษาระบบการค้าพหุภาคี
ธุรกิจภาคบริการของจีนมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมาก ในไตรมาสแรกของปี มูลค่าการลงทุนจากต่างชาติที่ใช้จริง (FDI) สูงถึง 269.23 พันล้านหยวน (ประมาณ 36.94 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยภาคบริการมีสัดส่วนเกิน 70% ของการลงทุนทั้งหมด
ไป๋ หมิง นักวิจัยจากสถาบันการค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศจีน ระบุว่า เมืองใหม่ 9 แห่งนี้มีระดับการเปิดเสรีภาคบริการสูงและมีอุตสาหกรรมเฉพาะตัว และคาดว่าผลสำเร็จจากการนำร่องจะสามารถขยายผลไปยังพื้นที่อื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ